Date  
15th September 2025

Table of Content:

 

● InsurTech คืออะไร ?

● ความสำคัญของ InsurTech

    ○ ประโยชน์ต่อบริษัทประกัน

    ○ ประโยชน์ต่อผู้บริโภค

● นวัตกรรมสำคัญใน InsurTech

    ○ InsurTech ในไทย

    ○ InsurTech ในต่างประเทศ

● คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับนวัตกรรม InsurTech

  

เมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีส่วนในการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัวกันขนานใหญ่ เพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง และแย่งชิงพื้นที่ส่วนแบ่งในตลาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในธุรกิจที่กำลังถูกพลิกโฉมอย่างรวดเร็ว คือธุรกิจประกันภัย ที่เคยถูกมองว่ามีกระบวนการซับซ้อน ล่าช้า และเข้าถึงยาก

  

InsurTech เป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจประกันภัยในไทย ด้วยการผสานการใช้ข้อมูล (Data) และเทคโนโลยี (Technology) ทำให้สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ของลูกค้าแบบครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการพิจารณารับประกันภัยที่รวดเร็วขึ้น การปรับเบี้ยประกันภัยให้เป็นธรรมตามพฤติกรรมเฉพาะบุคคล ไปจนถึงการเคลมที่โปร่งใสและง่ายดาย

  

ดังนั้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงนี้ และสามารถเลือกใช้บริการจากบริษัทประกันภัยที่ตอบโจทย์ได้ดียิ่งขึ้น เราจะมาเจาะลึกถึงนวัตกรรม InsurTech ให้มากขึ้นกัน

   

InsurTech คืออะไร ?

 

Insurance Technology หรือ InsurTech คือการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, Big Data, Cloud, IoT และ Blockchain เข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมประกันภัย เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ใหม่แก่ลูกค้า โดยขอบเขตของ InsurTech ครอบคลุมกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้

 

● การขายกรมธรรม์ผ่านช่องทางออนไลน์

● การพิจารณารับประกันภัย (Underwriting) ด้วยระบบอัตโนมัติ

● การเคลมที่รวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล

● การบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยข้อมูลเชิงลึก

 

ด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการเหล่านี้ จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ที่โปร่งใส คล่องตัว และเข้าถึงง่ายกว่าเดิม ทำให้วงการประกันภัยหลุดพ้นจากภาพลักษณ์เดิม ๆ ที่ยุ่งยากและใช้เวลานาน

 

ความสำคัญของ InsurTech

 

InsurTech คือกุญแจสำคัญที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ธุรกิจประกันภัย โดยมีประโยชน์ต่อทั้งบริษัทประกันภัยและผู้บริโภค ดังต่อไปนี้

 

ประโยชน์ต่อบริษัทประกันภัย

 

ลดต้นทุน

 

การใช้ระบบอัตโนมัติ (Automation) ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ เช่น การประมวลผลเอกสาร หรือการอนุมัติเบื้องต้น ช่วยลดข้อผิดพลาดในการทำงาน ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานลดลงอย่างมาก

 

ลดระยะเวลาทำงาน

 

เทคโนโลยีเข้ามาจัดการขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนและใช้เวลามาก เช่น การออกกรมธรรม์ การต่ออายุ หรือแม้แต่การจ่ายเงินเคลมในกรณีที่ไม่ซับซ้อน ทำให้การดำเนินงานรวดเร็วขึ้นและสามารถตอบสนองลูกค้าได้ทันท่วงที

 

พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล

 

ด้วยการรวบรวม Big Data หรือการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละคน ทำให้บริษัทสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เฉพาะเจาะจง (Personalized Products) และปรับเบี้ยประกันภัยให้เหมาะสมกับความเสี่ยงจริง ๆ ของผู้เอาประกันภัยแต่ละรายได้ (Usage-Based Insurance)

 

ประโยชน์ต่อผู้บริโภค

 

เข้าถึงง่ายขึ้น

 

ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูล เปรียบเทียบ และซื้อประกันภัยได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ทำให้การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพออนไลน์ เป็นเรื่องที่ง่ายเพียงปลายนิ้ว

 

ซื้อได้รวดเร็ว

 

กระบวนการพิจารณารับทำประกันภัย (Underwriting) ที่ใช้ AI มาช่วยในการประมวลผลข้อมูลจะใช้เวลาลดลงจากหลายวันเหลือเพียงไม่กี่นาที ทำให้เกิดการซื้อประกันออนไลน์แบบทันที (Instant Purchase)

 

ผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นและเป็นธรรม

  

ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเฉพาะบุคคล ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม เช่น ประกันภัยที่คิดเบี้ยตามพฤติกรรมการขับขี่รถยนต์ (Telematics) หรือพฤติกรรมการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นธรรมต่อผู้บริโภคที่ดูแลตัวเองได้ดี

 

ประสบการณ์การเคลมที่โปร่งใสและรวดเร็ว

 

การใช้แอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลในการยื่นเคลม พร้อมกับการใช้ AI ตรวจสอบความเสียหาย ช่วยลดความซับซ้อนและเวลาในการรอ ทำให้กระบวนการเคลมเป็นไปอย่างโปร่งใสและรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

 

นวัตกรรมสำคัญใน InsurTech

 

ปัจจุบันเริ่มมีการนำ InsurTech มาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของธุรกิจประกันภัยทั้งในและต่างประเทศ โดยที่เห็นได้อย่างชัดเจน มีดังนี้

 

InsurTech ในไทย

 

● ซื้อประกันออนไลน์แบบทันที (Instant Purchase) เช่น ประกันสุขภาพออนไลน์ที่ซื้อผ่านเว็บไซต์ได้เลย

● เคลมออนไลน์ ผ่านแอปพลิเคชันของบริษัทประกันภัย

● Chatbot และ Virtual Assistant ตอบคำถามลูกค้า ติดตามสถานะกรมธรรม์ และแจ้งเตือนวันครบกำหนดชำระเบี้ย

 

InsurTech ในต่างประเทศ

 

● Peer-to-Peer Insurance ให้กลุ่มผู้เอาประกันภัยรวมตัวกันแชร์ความเสี่ยง เพื่อช่วยลดเบี้ยประกันภัยในอนาคต

● Parametric Insurance จ่ายเงินชดเชยโดยอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่วัดผลได้ เช่น ภัยธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการเคลมที่ซับซ้อน

● AI Claims Processing เช่น บริษัท Lemonade ในสหรัฐที่สามารถอนุมัติการเคลมภายในไม่กี่นาที

 

การเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้ จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกทำประกันภัยจากบริษัทที่ตอบโจทย์ความต้องการและเป็นประโยชน์กับตนเองได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ส่วนคนที่กำลังมองหาประกันสุขภาพและประกันชีวิตออนไลน์ ให้พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ช่วยดูแล สมัครง่าย ปรับแผนได้ตามงบประมาณ

 

สนใจซื้อประกันออนไลน์ กับพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกเลย

 

หมายเหตุ

● ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก

● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

 

ข้อมูลอ้างอิง

InsurTech & Technology: ตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจประกันภัย

InsurTech คืออะไร มีความสำคัญต่อธุรกิจประกันภัยและผู้บริโภคแค่ไหนในยุคนี้

InsurTech : นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมประกันภัย

 

คำถามที่ถามบ่อยเกี่ยวกับนวัตกรรม InsurTech

  

InsurTech แตกต่างจากธุรกิจประกันภัยแบบดั้งเดิมอย่างไร ?

  

ธุรกิจประกันภัยแบบดั้งเดิมเน้นการดำเนินงานผ่านคนกลาง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนหรือนายหน้า อีกทั้งกระบวนการต่าง ๆ ยังเน้นที่เอกสารและใช้เวลานาน ในขณะที่ InsurTech คือการนำเทคโนโลยี เช่น AI, Big Data, และระบบอัตโนมัติ มาใช้เพื่อทำให้กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่การขาย การพิจารณารับประกัน ไปจนถึงการเคลม รวดเร็วขึ้น เป็นอัตโนมัติ และเข้าถึงได้โดยตรงผ่านช่องทางดิจิทัล

  

การใช้ InsurTech ทำให้ข้อมูลส่วนตัวปลอดภัยหรือไม่ ?

  

บริษัทประกันภัยที่ใช้ InsurTech มักจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอย่างมาก โดยมีการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัส (Encryption) และมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มงวดเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคควรเลือกใช้บริการจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานการป้องกันข้อมูลที่ชัดเจน

   

ประกันที่ใช้ InsurTech มีราคาถูกลงกว่าเดิมหรือไม่ ?

  

ในหลายกรณี ใช่ เนื่องจากการนำมา InsurTech มาปรับใช้ จะช่วยให้บริษัทประกันภัยลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้มาก ผ่านระบบอัตโนมัติ (Automation) และสามารถประเมินความเสี่ยงได้แม่นยำยิ่งขึ้น ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก จึงทำให้บริษัทสามารถเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นและมีเบี้ยประกันภัยที่เป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เบี้ยประกันภัยโดยรวมถูกลง โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้เอาประกันภัยที่มีความเสี่ยงต่ำ