Date  
28th July 2025

Table of Content:

 

● ทำความรู้จักกับอาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวและปัสสาวะผิดปกติ

● สาเหตุหลักของอาการปวดฉี่แต่ฉี่นิดเดียว

● อาการร่วมที่ควรสังเกต

    ○ อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง

    ○ อาการที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

    ○ อาการที่พบร่วมในแต่ละโรค

● การตรวจและวินิจฉัย

● อาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออก มีวิธีแก้และรักษาเบื้องต้นอย่างไร ?

● การรักษาทางการแพทย์

● การป้องกันและการดูแลตนเอง

● ข้อควรระวังและเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

 

Content:

หากใครมีอาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลา แต่เมื่อเข้าห้องน้ำกลับฉี่ออกมานิดเดียว หรือมีอาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกเลย อีกทั้งยังเป็นบ่อยจนสร้างความรำคาญใจ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักพบอาการนี้มากกว่าผู้ชาย อาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ตั้งแต่การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะไปจนถึงโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น การทำความเข้าใจสาเหตุและวิธีจัดการที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง 

 

1. ทำความรู้จักกับอาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวและปัสสาวะผิดปกติ

 

อาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือฉี่นิดเดียว คือ ความรู้สึกอยากปัสสาวะอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้าห้องน้ำกลับปัสสาวะออกมาได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ออกเลย ลักษณะของอาการปวดจะมีความเฉพาะตัว คือความปวดจะรุนแรงขึ้นเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มและความปวดจะลดลงหลังจากได้ปัสสาวะ โดยจะแตกต่างจากการปวดท้องน้อยทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะโดยตรง

 

ลักษณะอาการที่พบบ่อย ได้แก่

● ความรู้สึกเร่งด่วนในการปัสสาวะที่มาอย่างกะทันหัน

● ปัสสาวะออกมาทีละน้อยแม้จะรู้สึกต้องการมาก

● ปวดท้องน้อยเหมือนปวดฉี่ตลอดเวลา

● ความรู้สึกเหมือนกระเพาะปัสสาวะยังไม่ว่างเปล่าหลังจากเสร็จสิ้นการปัสสาวะ

 

จากสถิติทางการแพทย์พบว่า อาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า เนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่ายกว่า ส่วนในผู้ชายมักพบในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป และมักเกี่ยวข้องกับปัญหาต่อมลูกหมากโต

 

2. สาเหตุหลักของอาการปวดฉี่แต่ฉี่นิดเดียว

 

การทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสาเหตุหลักของอาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวในผู้หญิงมีดังนี้

 

2.1 การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)

 

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากแบคทีเรียที่เข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะเชื้อ E. coli โดยอาการที่พบ ได้แก่ ปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะขุ่น และอาจมีไข้ร่วมด้วย

 

2.2 กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ

 

ภาวะกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ หรือ Overactive Bladder เกิดจากกล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะหดตัวผิดปกติ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากปัสสาวะแม้กระเพาะปัสสาวะจะยังไม่เต็มจริง

 

2.3 นิ่วในทางเดินปัสสาวะ

 

นิ่วในทางเดินปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะไหลผ่านได้ไม่สะดวก ส่งผลให้รู้สึกอยากปัสสาวะมากแต่ปัสสาวะออกมาได้เพียงเล็กน้อย พร้อมกับอาการปวดจากความดันสูงในระบบทางเดินปัสสาวะ

 

2.4 ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ

 

กล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรงจะส่งผลให้ไม่สามารถบีบปัสสาวะออกให้หมดได้ รวมถึงการตีบแคบของคอกระเพาะปัสสาวะจะไปขัดขวางการไหลของปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่ออกมาเพียงนิดเดียว รวมถึงปัญหาระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติด้วย

 

2.5 สาเหตุจากโรคอื่น ๆ

 

โรคเบาหวานที่ส่งผลต่อเส้นประสาท การใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อการปัสสาวะ และความเครียดรวมถึงปัญหาทางจิตใจ ล้วนสามารถทำให้เกิดอาการปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือฉี่นิดเดียวได้เช่นกัน

 

2.6 ปัญหาต่อมลูกหมาก (ในผู้ชาย)

 

ในเพศชาย ปัญหาต่อมลูกหมากโตในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จะไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือออกทีละนิดเดียว พร้อมกับทำให้ปัสสาวะออกช้า ต้องเบ่ง กระแสปัสสาวะที่ออกมาจะค่อย ๆ ออกไม่เหมือนปกติ

 

3. อาการร่วมที่ควรสังเกต

 

การรู้จักสังเกตอาการเพิ่มเติมจะช่วยประเมินความรุนแรงและความจำเป็นในการพบแพทย์ได้อย่างถูกต้อง

 

3.1 อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง

 

เมื่อมีอาการปวดฉี่แต่ฉี่นิดเดียวร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ แสดงว่าอาจมีความรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะมีเลือดมาก หรือไม่สามารถปัสสาวะออกมาได้เลย

 

3.2 อาการที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

 

หากพบอาการใดอาการหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

● ไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสพร้อมกับมีอาการปวดหลังรุนแรง

● ไม่สามารถปัสสาวะออกมาได้เลยเป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมง

● ปัสสาวะมีเลือดสดปนออกมาปริมาณมาก

● อาเจียนติดต่อกันจนไม่สามารถกินยาหรือดื่มน้ำได้

 

3.3 อาการที่พบร่วมในแต่ละโรค

 

แต่ละสาเหตุของปัญหาจะมีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วยแตกต่างกันไป เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมักมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะและอาจมีไข้ร่วมด้วย หรือหากเกิดภาวะที่กระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไปจะมีอาการปัสสาวะถี่ตลอดทั้งวันและคืน ส่วนกรณีที่เป็นนิ่วจะมีอาการปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ โดยอาจมีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการปวดรุนแรงสลับกับปวดเล็กน้อย

 

4. การตรวจและวินิจฉัย

 

การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แพทย์จะใช้วิธีการตรวจหลายแบบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย : แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียดและตรวจร่างกาย เน้นที่การตรวจท้อง การคลำเพื่อหาการโป่งพองของกระเพาะปัสสาวะ

2. การตรวจปัสสาวะ : การตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด แบ่งเป็นการตรวจโดยใช้แถบทดสอบและการตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์

3. การตรวจเลือด : ตรวจนับเซลล์เลือดขาว การตรวจไตเรือน และการทำงานของไต

4. การตรวจทางภาพ : อัลตราซาวนด์ CT Scan หรือ MRI เพื่อดูโครงสร้างของไตและกระเพาะปัสสาวะ

5. การตรวจพิเศษอื่น ๆ : เช่น Urodynamic study หรือการส่องกระเพาะปัสสาวะในกรณีที่จำเป็น

 

5. อาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออก มีวิธีแก้และรักษาเบื้องต้นอย่างไร ?

 

การรักษาเบื้องต้นที่ถูกต้องสามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงมากขึ้น ซึ่งทำได้โดย

● การดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ : ดื่มน้ำสะอาด 2-3 ลิตรต่อวัน แบ่งดื่มเป็นระยะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

● การใช้ยาแก้ปวดที่ปลอดภัย : ใช้พาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนตามขนาดที่เหมาะสม

● การประคบร้อนและการนวด : ประคบร้อนบริเวณท้องน้อย 15-20 นาที และนวดเบา ๆ เป็นวงกลม

● การปรับเปลี่ยนท่วงท่าการขับถ่าย: สำหรับผู้หญิงที่เกิดภาวะนี้ควรนั่งให้สบาย โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และลองปัสสาวะสองครั้ง (Double voiding) โดยเมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วให้นั่งรอสักพักและลองเบ่งเบา ๆ เพื่อให้ปัสสาวะที่เหลืออยู่ในกระเพาะปัสสาวะถูกขับออกมาให้ได้มากที่สุด

  

  

6. การรักษาทางการแพทย์

 

เมื่อการดูแลเบื้องต้นไม่เพียงพอ การรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสมจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพได้มากกว่า ซึ่งอาจใช้วิธีเหล่านี้

 

6.1 การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

 

แพทย์จะเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับชนิดของเชื้อโรค โดยทั่วไปจะใช้ยาที่มีประสิทธิภาพต่อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ระยะเวลาการรักษาโดยปกติคือ 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ

 

6.2 การรักษาด้วยยาแก้ปวดและยาคลายกล้ามเนื้อ

 

ยาบรรเทาอาการปวดแสบพิเศษสำหรับทางเดินปัสสาวะ และยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะสำหรับกรณีที่กระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไป จะช่วยลดอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

6.3 การรักษาด้วยหัตถการทางการแพทย์ (กรณีจำเป็น)

 

เมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาขั้นสูง เช่น การผ่าตัดต่อมลูกหมากในผู้ชาย การทำลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก หรือการขยายช่องทางเดินปัสสาวะที่ตีบแคบ

 

6.4 การรักษาแบบองค์รวม

 

การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักต้องใช้วิธีการหลายอย่างร่วมกัน โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การฝึกกล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน (Kegel Exercises) และมีการจัดการความเครียดผ่านเทคนิคผ่อนคลาย การออกกำลังกายเบา ๆ และการนอนหลับที่เพียงพอ เพื่อช่วยลดผลกระทบของความเครียดต่อระบบทางเดินปัสสาวะ

 

7. การป้องกันและการดูแลตนเอง

 

การป้องกันและการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีมีความสำคัญไม่แพ้กับการรักษา เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นซ้ำและรักษาสุขภาพทางเดินปัสสาวะให้แข็งแรง

1. การดื่มน้ำที่ถูกต้อง : ดื่มน้ำสะอาด 8-10 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์

2. สุขอนามัยส่วนบุคคล : รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ เช็ดจากหน้าไปหลัง เปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน

3. การปรับพฤติกรรมการขับถ่าย : ไม่กลั้นปัสสาวะ ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์ สร้างตารางเวลาการปัสสาวะ

4. การออกกำลังกายที่เหมาะสม : ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ว่ายน้ำ ฝึกโยคะ และการฝึกกล้ามเนื้อเชิงกราน

5. การจัดการความเครียด : การทำสมาธิ การหายใจลึก การนอนหลับให้เพียงพอ และหาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ

 

8. ข้อควรระวังและเมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

 

การรู้จักสัญญาณเตือนและกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าเมื่อไหร่คุณควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา

● สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม : มีไข้สูงพร้อมหนาวสั่น ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะไม่ออกเลย ปัสสาวะมีเลือดมาก หรือมีผื่นแดงบนผิวหนัง

● กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ : หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเด็กเล็ก ควรพบแพทย์เร็วกว่าปกติเมื่อมีอาการ

● การติดตามอาการและการบันทึก : บันทึกเวลาที่มีอาการ ความรุนแรง ลักษณะปัสสาวะ อาหารที่บริโภค และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยและปรับแผนการรักษา

 

อาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น การรักษาในระยะแรกมักจะง่ายและประหยัดกว่าการรอจนกระทั่งอาการรุนแรง หากคุณมีอาการดังกล่าวอย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

 

นอกจากการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแล้ว การเตรียมความพร้อมด้านการเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาลก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะปัญหาสุขภาพอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหนก็ตาม เพิ่มความมั่นใจในการดูแลสุขภาพด้วยการซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต เพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต

 

ซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกที่นี่

 

หมายเหตุ

● ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก

● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

 

ข้อมูลอ้างอิง

Incomplete bladder emptying and tips to help

Incomplete Bladder Emptying

Overactive bladder