Table of Content:
● ทำความรู้จักกับอาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวและปัสสาวะผิดปกติ
● สาเหตุหลักของอาการปวดฉี่แต่ฉี่นิดเดียว
● อาการร่วมที่ควรสังเกต
○ อาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง
○ อาการที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที
○ อาการที่พบร่วมในแต่ละโรค
● การตรวจและวินิจฉัย
● อาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออก มีวิธีแก้และรักษาเบื้องต้นอย่างไร ?
● การรักษาทางการแพทย์
● การป้องกันและการดูแลตนเอง
● ข้อควรระวังและเมื่อไหร่ค วรไปพบแพทย์
Content:
หากใครมีอาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลา แต่เมื่อเข้าห้องน้ำกลับฉี่ออกมานิดเดียว หรือมีอาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกเลย อีกทั้งยังเป็นบ่อยจนสร้างความรำคาญใจ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักพบอาการนี้มากกว่าผู้ชาย อาการดังกล่าวอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ตั้งแต่การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะไปจนถึงโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น การทำความเข้าใจสาเหตุและวิธีจัดการที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
อาการเหมือนปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือฉี่นิดเดียว คือ ความรู้สึกอยากปัสสาวะอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้าห้องน้ำกลับปัสสาวะออกมาได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ออกเลย ลักษณะของอาการปวดจะมีความเฉพาะตัว คื อความปวดจะรุนแรงขึ้นเมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็มและความปวดจะลดลงหลังจากได้ปัสสาวะ โดยจะแตกต่างจากการปวดท้องน้อยทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปัสสาวะโดยตรง
ลักษณะอาการที่พบบ่อย ได้แก่
● ความรู้สึกเร่งด่วนในการปัสสาวะที่มาอย่างกะทันหัน
● ปัสสาวะออกมาทีละน้อยแม้จะรู้สึกต้องการมาก
● ปวดท้องน้อยเหมือนปวดฉี่ตลอดเวลา
● ความรู้สึกเหมือนกระเพาะปัสสาวะยังไม่ว่างเปล่าหลังจากเสร็จสิ้นการปัสสาวะ
จากสถิติทางการแพทย์พบว่า อาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า เนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่ายกว่า ส่วนในผู้ชายมักพบในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป และมักเกี่ยวข้องกับปัญหาต่อมลูกหมากโต
การทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการจะช่วยให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสาเหตุหลักของอาการรู้สึกปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวในผู้หญิงมีดังนี้
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากแบคทีเรียที่เข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะเชื้อ E. coli โดยอาการที่พบ ได้แก่ ปวดแสบเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะถี่ ปัสสาวะขุ่น และอาจมีไข้ร่วมด้วย
ภาวะกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ หรือ Overactive Bladder เกิดจากกล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะหดตัวผิดปกติ ทำให้เกิดความรู้สึกอยากปัสสาวะแม้กระเพาะปัสสาวะจะยังไม่เต็มจริง
นิ่วในทางเดินปัสสาวะจะทำให้ปัสสาวะไหลผ่านได้ไม่สะดวก ส่งผลให้รู้สึกอยากปัสสาวะมากแต่ปัสสาวะออกมาได้เพียงเล็กน้อย พร้อมกับอาการปวดจากความดันสูงในระบบทางเดินปัสสาวะ
กล้ามเนื้อผนังกระเพาะปัสสาวะอ่อนแรงจะส่งผลให้ไม่สามารถบีบปัสสาวะออกให้หมดได้ รวมถึงการตีบแคบของคอกระเพาะปัสสาวะจะไปขัดขวางการไหลของปัสสาวะ ส่งผลให้เกิดอาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่ออกมาเพียงนิดเดียว รวมถึงปัญหาระบบประสาทที่ควบคุมกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติด้วย
โรคเบาหวานที่ส่งผลต่อเส้นประสาท การใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อการปัสสาวะ และความเครียดรวมถึงปัญหาทางจิตใจ ล้วนส ามารถทำให้เกิดอาการปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือฉี่นิดเดียวได้เช่นกัน
ในเพศชาย ปัญหาต่อมลูกหมากโตในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี จะไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกหรือออกทีละนิดเดียว พร้อมกับทำให้ปัสสาวะออกช้า ต้องเบ่ง กระแสปัสสาวะที่ออกมาจะค่อย ๆ ออกไม่เหมือนปกติ
การรู้จักสังเกตอาการเพิ่มเติมจะช่วยประเมินความรุนแรงและความจำเป็นในการพบแพทย์ได้อย่างถูกต้อง
เมื่อมีอาการปวดฉี่แต่ฉี่นิดเดียวร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ แสดงว่าอาจมีความรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ ไข้สูง หนาวสั่น อาเจียน ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะมีเลือดมาก หรือไม่สามารถปัสสา วะออกมาได้เลย
หากพบอาการใดอาการหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
● ไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสพร้อมกับมีอาการปวดหลังรุนแรง
● ไม่สามารถปัสสาวะออกมาได้เลยเป็นเวลานานกว่า 6 ชั่วโมง
● ปัสสาวะมีเลือดสดปนออกมาปริมาณมาก
● อาเจียนติดต่อกันจนไม่สามารถกินยาหรือดื่มน้ำได้
แต่ละสาเหตุของปัญหาจะมีอาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดร่วมด้วยแตกต่างกันไป เช่น การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะมักมีอาการปวดแสบเวลาปัสสาวะและอาจมีไข้ร่วมด้วย หรือหากเกิดภาวะที่กระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไปจะมีอาการปัสสาวะถี่ตลอดทั้งวันและคืน ส่วนกรณีที่เป็นนิ่วจะมีอาการปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ โดยอาจมีอาการปวดแบบเป็น ๆ หาย ๆ หรือมีอาการป วดรุนแรงสลับกับปวดเล็กน้อย
การตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นรากฐานสำคัญของการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แพทย์จะใช้วิธีการตรวจหลายแบบเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย : แพทย์จะซักประวัติอย่างละเอียดและตรวจร่างกาย เน้นที่การตรวจท้อง การคลำเพื่อหาการโป่งพองของกระเพาะปัสสาวะ
2. การตรวจปัสสาวะ : การตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจที่สำคัญที่สุด แบ่งเป็นการตรวจโดยใช้แถบทดสอบและการตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์
3. การตรวจเลือด : ตรวจนับเซลล์เลือดขาว การตรวจไตเรือน และการทำงานของไต
4. การตรวจทางภาพ : อัลตราซาวนด์ CT Scan หรือ MRI เพื่อดูโครงสร้างของไตและกระเพาะปัสสาวะ
5. การตรวจพิเศษอื่น ๆ : เช่น Urodynamic study หรือการส่องกระเพาะปัสสาวะในกรณีที่จำเป็น
การรักษาเบื้องต้นที่ถูกต้องสามารถช่วยบรรเทาอาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงมากขึ้น ซึ่งทำได้โดย
● การดื่มน้ำและพักผ่อนให้เพียงพอ : ดื่มน้ำสะอาด 2-3 ลิตรต่อวัน แบ่งดื่มเป็นระยะ ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
● การใช้ยาแก้ปวดที่ปลอดภัย : ใช้พาราเซตามอลหรือไอบูโพรเฟนตามขนาดที่เหมาะสม
● การประคบร้อนและการนวด : ประคบร้อนบริเวณท้องน้อย 15-20 นาที และนวดเบา ๆ เป็นวงกลม
● การปรับเปลี่ยนท่วงท่าการขับถ่าย: สำหรับผู้หญิงที่เกิดภาวะนี้ควรนั่งให้สบาย โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และลองปัสสาวะสองครั้ง (Double voiding) โดยเมื่อปัสสาวะเสร็จแล้วให้นั่งรอสักพักและลองเบ่งเบา ๆ เพื่อให้ปัสสาวะที่เหลืออยู่ในกระเพาะปัสสาวะถูกขับออกมาให้ได้มากที่สุด
เมื่อการดูแลเบื้องต้นไม่เพียงพอ การรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสมจะช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพได้มากกว่า ซึ่งอาจใช้วิธีเหล่านี้
แพทย์จะเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับชนิดของเชื้อโรค โดยทั่วไปจะใช้ยาที่มีประสิทธิภาพต่อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ระยะเวลาการรักษาโดยปกติคือ 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
ยาบรรเทาอาการปวดแสบพิเศษสำหรับทางเดินปัสสาวะ และยาคลายกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะสำหรับกรณีที่กระเพาะปัสสาวะทำงานมากเกินไป จะช่วยลดอาการไ ด้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาวิธีการรักษาขั้นสูง เช่น การผ่าตัดต่อมลูกหมากในผู้ชาย การทำลายนิ่วด้วยคลื่นกระแทก หรือการขยายช่องทางเดินปัสสาวะที่ตีบแคบ
การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดมักต้องใช้วิธีการหลายอย่างร่วมกัน โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การฝึกกล้ามเนื้อพื้นเชิงกราน (Kegel Exercises) และมีการจัดการความเครียดผ่านเทคนิคผ่อนคลาย การออกกำลังกายเบา ๆ และการนอนหลับที่เพียงพอ เพื่อช่วยลดผลกระทบของความเครียดต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
การป้องกันและการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีมีความสำคัญไม่แพ้กับการรักษา เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นซ้ำและรักษาสุขภาพทางเดินปัสสาวะให้แข็งแรง
1. การดื่มน้ำที่ถูกต้อง : ดื่มน้ำสะอาด 8-10 แก้วต่อวัน หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
2. สุขอนามัยส่วนบุคคล : รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศ เช็ดจากหน้าไปหลัง เปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน
3. การปรับพฤติกรรมการขับถ่าย : ไม่กลั้นปัสสาวะ ปัสสาวะหลังมีเพศสัมพันธ์ สร้างตารางเวลาการปัสสาวะ
4. การออกกำลังกายที่เหมาะสม : ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ว่ายน้ำ ฝึกโยคะ และการฝึกกล้ามเนื้อเชิงกราน
5. การจัดการความเครียด : การทำสมาธิ การหายใจลึก การนอนหลับให้เพียงพอ และหาเวลาทำกิจกรรมที่ชอบ
การรู้จักสัญญาณเตือนและกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้ตัดสินใจได้ถูกต้องว่าเมื่อไหร่คุณควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและทันเวลา
● สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม : มีไข้สูงพร้อมหนาวสั่น ปวดหลังรุนแรง ปัสสาวะไม่ออกเลย ปัสสาวะมีเลือดมาก หรือมีผื่นแดงบนผิวหนัง
● กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ : หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีปัญหาระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และเด็กเล็ก ควรพบแพทย์เร็วกว่าปกติเมื่อมีอาการ
● การติดตามอาการและการบันทึก : บันทึกเวลาที่มีอาการ ความรุนแรง ลักษณะปัสสาวะ อาหารที่บริโภค และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยและปรับแผนการรักษา
อาการปวดฉี่ตลอดเวลาแต่ฉี่นิดเดียวอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น การรักษาในระยะแรกมักจะง่ายและประหยัดกว่าการรอจนกระทั่งอาการรุนแรง หากคุณมีอาการดังกล่าวอย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
นอกจากการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแล้ว การเตรียมความพร้อมด้านการเงินสำหรับค่ารักษาพยาบาลก็เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะปัญหาสุขภาพอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้จะดูแลตัวเองดีแค่ไหนก็ตาม เพิ่มความมั่นใจในการดูแลสุขภาพด้วยการซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต เพื่อให้คุณได้รับการรักษาที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในอนาคต
ซื้อประกันสุขภาพออนไลน์ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกที่นี่
หมายเหตุ
● ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก
● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด
● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความค ุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
ข้อมูลอ้างอิง
● Incomplete bladder emptying and tips to help