มนุษย์เงินเดือนหลายคนคงเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องเปลี่ยนงานในช่วงกลางปี รวมถึงคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน แล้วเกิดความสงสัยว่าต้องยื่นภาษีอย่างไร ? หรือต้องคำนวณภาษีแบบไหน ? ไปจนถึงเกิดข้อสงสัยที่ว่า "เราจำเป็นต้องยื่นภาษีหรือไม่ ?" มาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับการยื่นภาษีสำหรับผู้ที่ทำงานไม่เต็มปีและผู้ที่เปลี่ยนงานระหว่างปี พร้อมอธิบายเทคนิคการวางแผนภาษีเพื่อให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดในการยื่นภาษีครั้งต่อไป
สำหรับคำถามที่ว่า หากทำงานไม่เต็มปีจำเป็นต้องยื่นภาษีไหม คำตอบของคำถามนี้จะขึ้นอยู่กับว่าคุณมีเงินได้พึงประเมินรวมทั้งปีเท่าไร เพราะถึงแม้ว่าคุณจะทำงานไม่เต็มปีแต่มีรายได้ถึงเกณฑ์ ก็ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ด้วยเช่นกัน
โดยกรมสรรพากรได้กำหนดเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ไว้ดังนี้
1. คนโสดหรือไม่มีคู่สมรสที่มีเงินได้พึงประเมิน
● เงินเดือนเพียงอย่างเดียว เกิน 120,000 บาทต่อปี
● เงินได้ประเภทอื่น เกิน 60,000 ต่อปี
2. บุคคลที่มีคู่สมรสที่มีเงินได้พึงประเมิน
● เงินเดือนเพียงอย่างเดียว เกิน 220,000 บาทต่อปี
● เงินได้ประเภทอื่น เกิน 120,000 ต่อปี
โดยผู้ที่มีรายได้เกินจากที่กำหนด จำเป็ นต้องยื่นภาษีทุกคน ไม่ว่าจะทำงานครบปีหรือไม่
ประเภทของเงินได้พึงประเมินที่สำคัญสำหรับคนทำงานคือ
● เงินได้ประเภทที่ 1 ซึ่งรวมถึง เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา โบนัส และค่าคอมมิชชัน ซึ่ง เงินได้ประเภทนี้ สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
● เงินได้ประเภทที่ 2 เช่น ค่าตำแหน่ง เบี้ยประชุมกรรมการ รวมถึงผลประโยชน์เพิ่มเติมอื่น ๆ หักค่าใช้จ่ายได้ 50 % ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เช่นกัน
ในกรณีที่มีเงินได้ทั้ง 2 ประเภท ให้นำมาคิดรวมกัน โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ไม่เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีเงินได้ประเภทอื่น ๆ อีก เช่น
● เงินได้ประเภทที่ 3 ได้แก่ ค่ากู๊ดวิลล์(ค่าความนิยม) ค่าลิขสิทธิ์หรื อสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
● เงินได้ประเภทที่ 4 ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร เงินลงทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ เป็นต้น
● เงินได้ประเภทที่ 5 ได้แก่ เงินจากการให้เช่าทรัพย์สิน หรือประโยชน์อย่างอื่น
● เงินได้ประเภทที่ 6 ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระซึ่งมีพระราชกฤษฎีกากำหนดชนิดไว้
● เงินได้ประเภทที่ 7 ได้แก่ เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระ ในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ
● เงินได้ประเภทที่ 8 ได้แก่ เงินได้จากการทำธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือเงินได้อื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7
การคำนวณภาษีเริ่มจากการรวมเงินได้ทุกประเภท จากนั้นหักค่าใช้จ่าย แล้วค่อยหักค่าลดหย่อนต่าง ๆ ก่อนนำไปคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า ดังนี้
| เงินได้สุทธิ (บาท) | อัตราภาษี |
|---|---|
| 0 - 150,000 | ได้รับยกเว้น |
| 150,001 - 300,000 | 5% |
| 300,001 - 500,000 | 10% |
| 500,001 - 750,000 | 15% |
| 750,001 - 1,000,000 | 20% |
| 1,000,001 - 2,000,000 | 25% |
| 2,000,001 - 5,000,000 | 30% |
| 5,000,001 ขึ้นไป | 35% |
เมื่อมีการเปลี่ยนงาน หรือออกจากงานระหว่างปีควรจะต้องรวบรวมหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากทุกบริษัท เพราะคุณจะต้องนำรายได้จากนายจ้างทุกรายมารวมกันเพื่อคำนวณภาษี รวมถึงเอกสารสำคัญอื่น ๆ ด้วย
● หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากทุกบริษัท
● สลิปเงินเดือนที่แสดงรายละเอียดรายรับ และเงินที่หักไป
● หลักฐานการรับโบนัสหรือค่าตอบแทนพิเศษ
● เอกสารการเข้า-ออกงาน
กรณีถูกเลิกจ้าง เงินชดเชยจะได้รับการยกเว้นภาษีในส่วนที่ไม่เกินค่าจ้าง 400 วันสุดท้าย แต่จะไม่เกิน 600,000 บาท (เพิ่มจากเดิมที่ยกเว้นไม่เกิน 300,000 บาท) โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มกราคม 2566 ส่วนที่เกินจากนี้จะต้องนำไปคำนวณภาษีตามปกติ ทั้งนี้ หากได้จ่ายภาษีจากค่าชดเชยในส่วนที่ได้รับยกเว้นไปแล้ว สามารถยื่นขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปีนับจากวันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษี
เมื่อคุณเปลี่ยนงานหรือทำงานไม่ครบปีในบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่พนักงาน มีแนวทางจัดการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพดังนี้
โดยทั่วไป เงินในกองทุนจะประกอบด้วย 4 ส่วน คือ เงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์จากทั้งสองส่วน ซึ่งเงินสะสมที่หักจากเงินเดือนของคุณจะไม่ต้องเสียภาษีซ้ำ แต่เงินในส่วนอื่น ๆ จะต้องนำไปคำนวณภาษีด้วย
หากใครทำงานครบ 5 ปี จะได้สิทธิพิเศษในการคำนวณภาษีที่น้อยลง อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเลือกโอนเงินไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของนายจ้างใหม่ หรือโอนไปยังกองทุน RMF for PVD เพื่อยังไม่ต้องเสียภาษีในทันที ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการวางแผนภาษีและการออมในระยะยาว
การลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิประโยชน์สำคัญที่ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหม าย โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. หมวดค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
● ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
● ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท (กรณีคู่สมรสไม่มีเงินได้)
● ค่าลดหย่อนบุตร คนละ 30,000 - 60,000 บาท
● ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท
● ค่าฝากครรภ์และค่าคลอด ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินห้องละ 60,000 บาท
2. หมวดค่าลดหย่อนการออม การลงทุน และประกัน
● เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป ลดหย่อนได้ตามจ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท
● เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ลดหย่อนตามจริงได้ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท
● เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา ลดหย่อนตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท
● กองทุน RMF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 500,000 บาท (เมื่อรวมกับกองทุนอื่น ๆ)
● กองทุน SSF ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 200,000 บาท
● กองทุนไท ยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน ไม่เกิน 300,000 บาท
● เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ลดหย่อนตามจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท
3. หมวดค่าลดหย่อนเพื่อส่งเสริมการศึกษาและบริจาค
● เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาค ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ
● เงินบริจาคให้พรรคการเมือง ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท
● เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ
4. หมวดค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ/สร้างที่อยู่อาศัย
● ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่อยู่อาศัย ลดหย่อนได้ตามจ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท
5. หมวดค่าลดหย่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
● ค่าลดหย่อน Easy E-Receipt 2567 ลดหย่อนตามจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 50,000 บาท