Date  
14th July 2025

Table of Content:

 

● หนี้มรดกคืออะไร ?

● ถ้าเป็นหนี้แล้วเสียชีวิต ทายาทต้องทำอย่างไร ?

    ○ 1. ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

    ○ 2. ประกาศเชิญเจ้าหนี้

    ○ 3. ชำระหนี้จากทรัพย์มรดกก่อนการแบ่ง

● วิธีป้องกันการส่งต่อหนี้มรดก เพื่ออนาคตของคนข้างหลัง

    ○ 1. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ

    ■ การจัดการหนี้สิน

    ■ การออมและการลงทุน

    ■ การทำพินัยกรรม

    ○ 2. วางแผนประกันชีวิต เพื่อความมั่นคงของครอบครัว

 

Content:

 

ช่วงเวลาที่สูญเสียคนสำคัญ ย่อมสร้างความเศร้าใจให้คนในครอบครัวอยู่ไม่น้อย และความทุกข์นั้นอาจยิ่งทบเท่าทวีคูณ หากพบว่าบุคคลที่จากไปยังมีภาระหนี้หลงเหลือไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องรับผิดชอบ กลายเป็นภาระยากลำบากจากการขาดสภาพคล่องทางการเงิน และอาจยืดเยื้อยาวนานอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการส่งต่อหนี้มรดก การวางแผนและเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ชีวิตของคนที่เรารักสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง

    

หนี้มรดกคืออะไร ?

 

หนี้มรดก หมายถึง ภาระหนี้สินที่ผู้เสียชีวิต (เจ้ามรดก) ยังไม่ได้ชำระ และยังอยู่ภายใต้ระยะเวลาอายุความตามกฎหมาย เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต หนี้เหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการมรดก ไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังทายาทหรือบุคคลใดโดยตรง

 

อย่างไรก็ตาม หนี้มรดกต้องได้รับการจัดการโดยใช้ทรัพย์สินในกองมรดกก่อน เช่น เงินฝาก อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ หากหลังชำระหนี้เรียบร้อยแล้วมีทรัพย์สินเหลือ จึงจะสามารถแบ่งให้ทายาทตามสัดส่วนได้ แต่หากไม่มีทรัพย์สินในกองมรดก เจ้าหนี้ไม่สามารถบังคับทายาทให้นำทรัพย์สินส่วนตัวมาชดใช้หนี้แทนได้

 

ถ้าเป็นหนี้แล้วเสียชีวิต ทายาทต้องทำอย่างไร ?

 

คำถามที่พบบ่อยคือ “ถ้าเป็นหนี้แล้วเสียชีวิต ทายาทต้องรับผิดชอบหรือไม่” หรือ “ผู้จัดการมรดกต้องใช้หนี้แทนหรือไม่” คำตอบคือ ไม่ต้องรับผิดชอบด้วยทรัพย์สินส่วนตัว แต่มีหน้าที่ในการจัดการทรัพย์มรดกเพื่อชำระหนี้ก่อน โดยขั้นตอนการจัดการมีดังนี้

 

1. ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

 

เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต หากไม่มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ในพินัยกรรม ทายาทหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต้องยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกขึ้นมาดูแลการดำเนินการทั้งหมดในนามของกองมรดก โดยมีหน้าที่หลักคือรวบรวมทรัพย์สิน หนี้สิน และจัดการทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับมรดก เช่น การติดต่อเจ้าหนี้ การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และดำเนินการชำระหนี้ตามลำดับความสำคัญของเจ้าหนี้ที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

 

2. ประกาศเชิญเจ้าหนี้

 

หลังจากได้รับการแต่งตั้ง ผู้จัดการมรดกจะต้องประกาศแจ้งต่อสาธารณะผ่านหนังสือพิมพ์ หรือช่องทางตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อแจ้งเจ้าหนี้ของเจ้ามรดกให้แสดงตนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (โดยทั่วไปคือเจ้าหนี้ต้องฟ้องเอาเงินจากกองมรดกภายใน 1 ปีตั้งแต่เจ้ามรดกตาย หรือรู้ว่าเจ้ามรดกตาย) เป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหนี้สามารถแสดงสิทธิ์เรียกร้องการชำระหนี้จากกองมรดกได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม หากไม่มีการแสดงตัวภายในเวลาที่กำหนด เจ้าหนี้อาจหมดสิทธิ์ในการเรียกร้องหนี้นั้น ๆ

 

3. ชำระหนี้จากทรัพย์มรดกก่อนการแบ่ง

 

เมื่อรวบรวมหนี้สินและทรัพย์สินครบถ้วนแล้ว ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่นำทรัพย์มรดกที่มีอยู่ไปชำระหนี้ก่อน เช่น หนี้ค่ารักษาพยาบาล หนี้ธนาคาร หรือหนี้อื่น ๆ ที่เจ้าหนี้ได้แสดงตนไว้ หากมีทรัพย์สินไม่เพียงพอในการชำระหนี้ทั้งหมด การชำระจะต้องทำตามอัตราส่วนตามกฎหมาย โดยทายาทไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหนี้เกินกว่าทรัพย์สินที่ได้รับมรดก และหนี้ที่เหลือก็ถือว่าระงับไปตามกฎหมาย หากมีทรัพย์สินเหลือหลังจากชำระหนี้ทั้งหมดแล้ว จึงจะสามารถแบ่งมรดกให้กับทายาทได้ตามส่วนที่พึงได้รับ

   

  

วิธีป้องกันการส่งต่อหนี้มรดก เพื่ออนาคตของคนข้างหลัง

 

แม้ตามกฎหมายจะไม่ได้บังคับให้ทายาทรับผิดชอบหนี้ของผู้เสียชีวิต แต่ทายาทก็ยังต้องจ่ายหนี้จากทรัพย์มรดกอยู่ ซึ่งหากมีเงินสำรองไม่พอจ่าย อาจต้องเจอกับปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือต้องขายทรัพย์สินที่อยากเก็บไว้ให้ครอบครัว เจ้าของทรัพย์สินจึงควรวางแผนล่วงหน้าเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลว่าถ้าเป็นหนี้แล้วเสียชีวิตกะทันหัน คนที่อยู่ข้างหลังจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยสามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

 

1. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ

 

การจัดการหนี้สิน

 

ควรติดตามสถานะหนี้อย่างสม่ำเสมอ พร้อมลดหนี้ที่ไม่จำเป็น และหลีกเลี่ยงการกู้หนี้ยืมสินที่เกินตัว เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระของคนในครอบครัวภายหลัง

 

การออมและการลงทุน

 

การมีเงินสำรองหรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาวจะช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงิน และสามารถใช้เป็นทรัพย์สำหรับชำระหนี้หรือส่งต่อให้ครอบครัวได้

 

การทำพินัยกรรม

 

พินัยกรรมที่จัดทำไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยให้การจัดการทรัพย์สินและหนี้สินหลังเสียชีวิตเป็นไปตามเจตนารมณ์ และลดความขัดแย้งระหว่างทายาท

 

2. วางแผนประกันชีวิต เพื่อความมั่นคงของครอบครัว

 

ประกันชีวิตไม่ใช่แค่เครื่องมือคุ้มครองความเสี่ยง แต่ยังเป็นหนึ่งในรูปแบบการวางแผนมรดกที่ช่วยให้ครอบครัวสามารถรับมือกับหนี้มรดกหลังจากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้เสียชีวิตมีภาระหนี้ เช่น สินเชื่อบ้าน หนี้บัตรเครดิต หรือหนี้ส่วนบุคคล ทายาทก็จะไม่ต้องนำทรัพย์ที่ต้องการเก็บไว้ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ในครอบครัวออกมาชำระหนี้ดังกล่าว

 

ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) เป็นแผนประกันภัยที่ผสานทั้ง “การออม” และ “การคุ้มครองชีวิต” เข้าไว้ด้วยกัน โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นงวด ๆ ตามที่ระบุในกรมธรรม์ และจะได้รับเงินก้อนเมื่อครบกำหนดสัญญา หรือหากเสียชีวิตก่อนครบกำหนด ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินชดเชยตามทุนประกันภัยที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ จุดเด่นของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จะอยู่ที่ สามารถใช้เป็นทรัพย์สินที่เติบโตได้ในอนาคต ซึ่งจะถูกนำเข้าสู่กองมรดก หรือส่งตรงถึงผู้รับผลประโยชน์ ทำให้ครอบครัวมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายหรือชำระหนี้สิน โดยไม่ต้องพึ่งพาทรัพย์สินอื่นที่ต้องการเก็บรักษาไว้

 

เตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อคนข้างหลัง ด้วยการวางแผนมรดกในรูปแบบประกันชีวิต กับการซื้อประกันสะสมทรัพย์ PRUe-Legacy Saver จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามกฎหมาย สูงสุด 100,000 บาทต่อปี รวมผลประโยชน์สูงสุดถึง 888% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น พร้อมสมัครออนไลน์ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ

 

✅ ชำระเบี้ยสั้นเพียง 8 ปี คุ้มครองถึงอายุ 88 ปี

✅ รับเงินคืน ทุกปี ปีละ 8.8% ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 1

✅ รับเงินก้อน 888% เมื่ออายุครบ 88 ปี

✅ ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 1,616%

  

สนใจวางแผนมรดกในรูปแบบประกัน กับพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกเลย

  

หมายเหตุ

● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

  

ข้อมูลอ้างอิง

3 เรื่องที่ทายาทต้องรู้ เมื่อเป็นหนี้มรดก

มรดก ไม่ได้มีแค่ทรัพย์สิน แต่รวมถึงหนี้สินด้วย เมื่อเจ้ามรดกตาย แต่หนี้ ยังคงอยู่ จะจัดการอย่างไร?