Date  
21st July 2025

Table of Content:

 

● โรคไตเรื้อรัง คืออะไร ?

● สาเหตุของโรคไตเรื้อรังมีอะไรบ้าง ?

    ○ โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง

    ○ พฤติกรรมการใช้ชีวิต

    ○ พันธุกรรม

    ○ โรคทางระบบปัสสาวะ

● โรคไตเสื่อมมีกี่ระยะ แต่ละระยะมีสัญญาณเตือนอย่างไร ?

    ○ ระยะที่ 1 ไตเริ่มมีความผิดปกติ แต่อัตราการกรองยังปกติ อาการไม่ชัดเจน

    ○ ระยะที่ 2 ไตเริ่มผิดปกติ อัตราการกรองลดลงเล็กน้อย อาการไม่ชัดเจน

    ○ ระยะที่ 3 เริ่มมีของเสียสะสมในร่างกาย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย บวมเล็กน้อย

    ○ ระยะที่ 4 ไตเสื่อมลงมาก มีอาการผิดปกติชัดเจน

    ○ ระยะที่ 5 ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ

● การรักษาเมื่อเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรัง

    ○ การฟอกเลือด (Hemodialysis)

    ○ การล้างทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

 

Content:

 

โรคไตเรื้อรังถือเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งด้วยไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน อาจทำให้หลายคนละเลยสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ร่างกายกำลังส่งออกมา ซึ่งในประเทศไทยก็พบผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในระยะที่ 3-5 ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากโรคนี้มักไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงเริ่มต้น จนอาจจะนำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรังได้

  

โรคไตเรื้อรัง คืออะไร ?

 

โรคไตเรื้อรัง (CKD) คือภาวะที่ไตทำงานลดลงอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง ทำให้ไตไม่สามารถกรองของเสียจากเลือดได้ตามปกติ ซึ่งการกรองของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะถือเป็นหน้าที่หลักของไต ทำให้ของเสียสะสมในร่างกาย ส่งผลต่อระบบอื่น ๆ โดยตรง โรคนี้มักไม่แสดงอาการในช่วงเริ่มต้น ผู้ป่วยจำนวนมากจึงมารับการรักษาเมื่ออยู่ในระยะที่ไตเสื่อมไปมากแล้ว การเข้าใจอาการและระยะของโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

สาเหตุของโรคไตเรื้อรังมีอะไรบ้าง ?

 

การรู้เท่าทันสาเหตุของโรคไตเรื้อรังจะช่วยให้สามารถป้องกันและควบคุมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก รวมถึงช่วยหลีกเลี่ยงภาวะที่รุนแรงของอาการ โดยมีสิ่งที่ควรระวัง ดังนี้

 

1. โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง

 

เป็นสาเหตุหลักของโรคไตในกลุ่มผู้ใหญ่ ที่เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูง หากไม่มีการควบคุม จะทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเกิดความเสียหายและเสื่อมลง ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังและภาวะไตเสื่อมได้

 

2. พฤติกรรมการใช้ชีวิต

 

พฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตเรื้อรังได้ เช่น

● การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ไตเสียหายและไม่สามารถทำงานได้เต็มที่

● การรับประทานอาหารรสจัด หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น อาหารเค็มหรือรสจัด จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและส่งผลให้ไตเกิดความเสียหายได้

● การใช้ยาแก้ปวดที่มีผลกระทบต่อไต เช่น ยาแก้ปวด (NSAIDs) ซึ่งอาจทำให้ไตเกิดความเสียหายเมื่อใช้งานในระยะยาว โดยเฉพาะหากใช้ในปริมาณมาก หรือใช้ติดต่อกันมานาน

 

3. พันธุกรรม

 

ผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคไต หรือโรคไตเรื้อรัง ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไตได้เช่นกัน โดยพันธุกรรมอาจทำให้ไตมีความเสื่อมสภาพเร็วขึ้นเมื่อเจอปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีประวัติโรคไตในครอบครัวจึงควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

 

4. โรคทางระบบปัสสาวะ

 

การติดเชื้อในระบบปัสสาวะ หรือการอักเสบที่เกิดในไต อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างถาวรต่อไต ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลต่อการทำงานของไตในระยะยาว

 

โรคไตเสื่อมมีกี่ระยะ ในแต่ระยะมีสัญญาณเตือนอย่างไร ?

 

โรคไตเรื้อรังมี 5 ระยะ ซึ่งจะส่งผลให้การทำงานของไตลดลงไปเรื่อย ๆ โดยแต่ละระยะมีสัญญาณเตือนที่ต้องระมัดระวัง ดังนี้

 

ระยะที่ 1 ไตเริ่มมีความผิดปกติ แต่อัตราการกรองยังปกติ อาการไม่ชัดเจน

 

ในระยะนี้ไตจะเริ่มมีความผิดปกติ แต่ยังคงทำงานได้เป็นปกติอยู่ โดยอัตราการกรองของเสีย (GFR) ยังไม่เปลี่ยนแปลงนัก จึงไม่มีอาการที่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน แต่สามารถตรวจพบปัญหาผ่านการตรวจเลือด หรือปัสสาวะเป็นประจำ การตรวจสุขภาพตามปกติเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพบปัญหาในระยะนี้ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนมากมักไม่รู้ตัวจนกว่าจะเข้าสู่ระยะที่มีอาการชัดเจนขึ้น

 

ระยะที่ 2 ไตเริ่มผิดปกติ อัตราการกรองลดลงเล็กน้อย อาการไม่ชัดเจน

 

ในระยะนี้อัตราการกรองของเสียในไต (GFR) จะเริ่มลดลงเล็กน้อย ซึ่งแม้จะยังคงไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเหนื่อยง่ายขึ้น หรือมีอาการบวมเล็กน้อย โดยเฉพาะในบริเวณขา หรือข้อเท้า แต่ก็อาจยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโรคไตเสื่อม ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะนี้จึงควรตรวจสุขภาพตามปกติเพื่อให้แพทย์สามารถติดตามการทำงานของไตได้อย่างต่อเนื่อง

 

ระยะที่ 3 เริ่มมีของเสียสะสมในร่างกาย อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย บวมเล็กน้อย

 

เมื่อเข้าสู่ระยะนี้การทำงานของไตจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยอัตราการกรองของเสีย (GFR) จะต่ำลงมาก ร่างกายเริ่มสะสมของเสียมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือบวมในบางบริเวณ เช่น ขาและเท้า อีกทั้งการสะสมของเสียในร่างกายอาจเริ่มมีผลต่อระบบอื่นในร่างกาย ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สามารถติดตามอาการและการทำงานของไตได้

 

ระยะที่ 4 ไตเสื่อมลงมาก มีอาการผิดปกติชัดเจน

 

ในระยะนี้การทำงานของไตจะเสื่อมลงมากและเริ่มมีอาการผิดปกติที่ชัดเจน เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือมีอาการบวมที่ขาและใบหน้าเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยในระยะนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่จริงจัง โดยอาจต้องเริ่มฟอกเลือด หรือใช้การรักษาอื่นที่เหมาะสม โดยการรักษาในระยะนี้จะช่วยชะลอความเสียหายต่อไตและทำให้สามารถจัดการกับอาการได้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ไตเสื่อมลงไปในระยะสุดท้าย

 

ระยะที่ 5 ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ไตไม่สามารถกรองของเสียได้ตามปกติ

 

ในระยะนี้ไตไม่สามารถทำหน้าที่กรองของเสียได้อีกต่อไป ระบบกรองของเสียในร่างกายจะหยุดทำงาน ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการฟอกเลือด หรือการล้างไต เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ซึ่งหากไม่รักษาอย่างทันท่วงทีอาจส่งผลอันตรายได้

  

    

การรักษาเมื่อเข้าสู่ระยะไตวายเรื้อรัง

 

เมื่อโรคไตเรื้อรังเข้าสู่ระยะที่ 4 และ 5 ซึ่งเป็นระยะที่ไตเสื่อมจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติแล้ว การรักษาจะเน้นที่การช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาการทำงานของไต ด้วยการรักษา ดังนี้

 

1. การฟอกเลือด (Hemodialysis)

 

การฟอกเลือด (Hemodialysis) เป็นกระบวนการที่ไตของผู้ป่วยไม่สามารถกรองของเสียออกจากร่างกายได้เอง จึงต้องพึ่งพาเครื่องฟอกเลือดทดแทนการทำงานของไต โดยเครื่องฟอกเลือดจะทำการกรองของเสียและสารพิษออกจากเลือด ก่อนที่จะนำเลือดที่สะอาดกลับสู่ร่างกายอีกครั้ง กระบวนการนี้ช่วยให้ของเสียที่สะสมในเลือดถูกขับออกอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องเข้าฟอกเลือดตามตารางที่กำหนด ปกติแล้วจะทำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

 

2. การล้างทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

 

การล้างทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) เป็นกระบวนการที่ผู้ป่วยสามารถทำที่บ้านได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลทุกครั้ง โดยสามารถรักษาได้เหมือนกับการฟอกเลือด แต่จะใช้ช่องท้องเป็นตัวกลางในการกรองของเสียแทนการใช้เครื่องฟอกเลือด ซึ่งแม้จะมีความสะดวกและสามารถทำได้เองที่บ้าน แต่ต้องรักษาความสะอาดในระดับสูง ผู้ป่วยและญาติต้องเรียนรู้วิธีการทำอย่างถูกต้อง โดยต้องมีการติดตามผลจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

 

วางแผนทางการเงินล่วงหน้า อุ่นใจเรื่องการดูแลสุขภาพ ด้วย PRUCritical Care

  

การรักษาไตวายเรื้อรังเป็นการรักษาระยะยาวที่มีค่าใช้จ่ายสูง ค่าฟอกเลือดแต่ละครั้งอาจสูงถึงหลายพันบาทและต้องทำต่อเนื่องตลอดชีวิต อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึง ทั้งค่ายา ค่าตรวจ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา การวางแผนการเงินที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น

 

เพิ่มความมั่นใจในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ด้วยประกันโรคร้ายแรง เจอ จ่าย จบ PRUCritical Care จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ที่จะช่วยลดภาระเรื่องค่าใช้จ่ายและวางแผนรับมือในระยะยาว ให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถมุ่งเน้นการรักษาได้อย่างเต็มที่ โดยคุ้มครอง 4 โรคร้ายแรงสำคัญ ได้แก่ หัวใจวายเฉียบพลัน หลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน ไตวายเรื้อรัง และภาวะโคม่า

 

✅ เบี้ยประกันภัยต่อปี 219 บาท (เบี้ยประกันภัยสำหรับเพศหญิง อายุ 30 ปี)

✅ รับเงินก้อนสูงสุด 1,000,000 บาททันทีเมื่อตรวจพบ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแผนความคุ้มครองที่เลือก)

✅ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ เพียงตอบคำถามไม่กี่ข้อ

✅ ซื้อออนไลน์ได้ง่าย ๆ แค่มีบัตรประชาชน

  

สนใจประกันชีวิตออนไลน์ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกเลย

  

หมายเหตุ

● ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก

● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

 

ข้อมูลอ้างอิง

โรคไตเรื้อรัง ไม่ยากเกินเข้าใจ

ไตวายเรื้อรัง จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ?