Date  
1st April 2025

“โรคหลอดเลือดสมองแตก” หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “เส้นเลือดในสมองแตก” เป็นหนึ่งในโรคที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและส่งผลกระทบต่อระบบประสาทอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้ การรู้เท่าทันอาการ รวมถึงสัญญาณเตือนต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น 

  

โรคหลอดเลือดสมองคืออะไร ?

 

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) คือภาวะที่สมองขาดเลือดและออกซิเจน เนื่องจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตกจนมีเลือดออกภายในสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองได้รับความเสียหายในเวลาอันรวดเร็ว

 

สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองแตก

 

การทำความเข้าใจถึงสาเหตุจะช่วยให้ได้รู้เท่าทันความเสี่ยงและสามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

1. การเกิดภาวะหลอดเลือด

 

สามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่หลอดเลือดในสมองมีการตีบหรืออุดตัน โดยมีสาเหตุหลักจากการสะสมของไขมัน (Atherosclerosis) หรือการอุดตันจากลิ่มเลือด (Thrombus) ส่งผลให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ซึ่งเมื่อสมองขาดเลือดและออกซิเจน เซลล์สมองจะเริ่มตายอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่อาการสมองเสื่อม การทำงานของสมองผิดปกติ หรือความพิการทางร่างกายได้

 

2. ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการควบคุม

 

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการควบคุมอย่างต่อเนื่อง ความดันโลหิตสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัวและเสื่อมสภาพได้ง่าย จนทำให้หลอดเลือดแตก หรือเกิดลิ่มเลือด จนทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตันในที่สุด

 

3. การบาดเจ็บที่ศีรษะ

 

การบาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรง เช่น การตกจากที่สูง หรือเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง สามารถทำให้เส้นเลือดในสมองแตกและมีเลือดออกภายในสมองได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยตรงต่อภาวะเลือดออกในสมอง (Stroke) และส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมในระยะยาวได้

 

4. ความผิดปกติของหลอดเลือด

 

โรคหลอดเลือดสมองอาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้หลอดเลือดในสมองอ่อนแอ หรือแตกง่ายกว่าปกติ เช่น ภาวะหลอดเลือดโป่งพอง (Aneurysm) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะแตกและนำไปสู่ภาวะเลือดออกในสมองได้ การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้รู้ถึงความผิดปกติในระยะแรกเริ่ม และช่วยให้หาทางป้องกันกับภาวะนี้ได้

 

5. การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

 

การใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือด หรือมีปัญหาทางหัวใจ อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เลือดไหลออกจากหลอดเลือดในสมอง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกได้ โดยเฉพาะหากใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดโดยไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ หรือไม่ทำตามคำแนะนำการใช้ยาอย่างเคร่งครัด

 

สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองแตก

 

การสังเกตอาการและสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองสามารถช่วยให้การรักษาเป็นไปได้ทันท่วงที ลดความเสี่ยงต่อการเกิดความพิการถาวร หรือเสียชีวิตได้

 

● อาการชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้า แขน หรือขา โดยมักเกิดขึ้นที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย

● สับสน พูดไม่ชัด หรือเข้าใจคำพูดลำบาก การสื่อสารมีปัญหาอย่างเฉียบพลัน

● ปัญหาในการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน

● ปวดศีรษะรุนแรงอย่างฉับพลัน โดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน

● เวียนศีรษะ สูญเสียการทรงตัว หรือการประสานงานของร่างกายผิดปกติ โดยอาจมีอาการเดินเซ หรือทรงตัวลำบาก

 

เส้นเลือดในสมองแตก เป็นแล้วหายไหม ?

 

คำตอบคือ สามารถฟื้นตัวได้ในบางราย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น

 

1. ความรุนแรงของภาวะเส้นเลือดในสมองแตก

 

ความรุนแรงของภาวะหลอดเลือดสมองแตกส่งผลต่อการฟื้นตัวโดยตรง หากเลือดออกมาก หรือสมองเสียหายในวงกว้าง จะทำให้มีโอกาสฟื้นตัวต่ำลง เนื่องจากเซลล์สมองไม่สามารถฟื้นตัวได้จากความเสียหายที่รุนแรง

 

2. ตำแหน่งที่สมองได้รับผลกระทบ

 

สมองมีการทำงานที่แตกต่างกันในแต่ละส่วน ซึ่งควบคุมการทำงานที่สำคัญ เช่น หากเส้นเลือดในสมองแตกในส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ก็อาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรง หรือเป็นอัมพาต แต่หากเกิดในส่วนที่ควบคุมการพูดก็จะทำให้เกิดอาการพูดไม่ชัด พูดลำบาก

 

3. ความเร็วในการเข้ารับการรักษา

 

การได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว ทั้งยังลดความเสี่ยงในการเกิดความพิการถาวร โดยเฉพาะหากการรักษาเน้นไปที่การลดอาการบวมของสมองและการรักษาภาวะเลือดออกในสมอง

 

4. การฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง

 

หลังจากการรักษา ผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกมักต้องการการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างต่อเนื่อง โดยการทำกายภาพบำบัด, การฝึกพูด, การฝึกการเคลื่อนไหว และการฝึกการทำกิจวัตรประจำวัน (ADL) ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการฟื้นตัว ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ

 

5. อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

 

อายุและสุขภาพโดยรวมมีผลต่อการฟื้นตัวอย่างมาก สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว การฟื้นตัวจะใช้เวลานานและอาจไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่มีสุขภาพดีและออกกำลังกายเป็นประจำมักฟื้นตัวได้เร็วกว่าและมีแนวโน้มที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้น

 

  

การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแตก

 

โรคหลอดเลือดสมองแตกเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองแตกลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

● ควบคุมความดันโลหิต ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดสมองเสื่อมสภาพและเกิดการแตกได้ง่าย

● รักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง

● หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสารเหล่านี้จะทำให้หลอดเลือดตีบแคบลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

● ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพของหลอดเลือดและหัวใจ ควบคุมความดันโลหิตให้คงที่

● รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักผลไม้สด ถั่ว เมล็ดพืช ลดการบริโภคเกลือ ไขมัน น้ำตาล

 

โรคหลอดเลือดสมองแตกมีค่ารักษาอย่างไรบ้าง ?

 

ค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคหลอดเลือดสมองแตกอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของโรค วิธีการรักษา ระยะเวลาที่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาล และสถานพยาบาลที่เลือกใช้ โดยทั่วไป ค่ารักษาอาจประกอบด้วย

 

1. ค่าตรวจวินิจฉัย

 

การตรวจวินิจฉัยเพื่อวิเคราะห์และหาสาเหตุของโรคหลอดเลือดสมองแตกเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการรักษาผู้ป่วย โดยค่าตรวจในขั้นตอนนี้มักรวมถึงการตรวจ CT Scan (คอมพิวเตอร์สแกน) หรือ MRI (การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่งจะช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอาการผิดปกติของหลอดเลือดสมองได้อย่างแม่นยำ เช่น การอุดตัน การตีบ หรือการแตกของหลอดเลือดในสมอง ค่าตรวจเหล่านี้มักจะมีราคาแพง โดยเฉพาะการใช้ MRI ซึ่งต้องใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการถ่ายภาพ

 

2. ค่ารักษา

 

ค่ารักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแตกมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและแนวทางการรักษาที่จำเป็น ซึ่งอาจรวมถึงค่ายา เช่น ยาลดความดัน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาลดบวมสมอง ค่าผ่าตัดในกรณีที่ต้องหยุดเลือด หรือลดความดันในสมอง รวมถึงค่ากายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการพูด ทำให้โดยรวมแล้วจะต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

 

3. ค่าใช้จ่ายอื่น

 

นอกเหนือจากค่าตรวจและค่ารักษาหลักแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ควรคำนึงถึงอีก ไม่ว่าจะเป็น ค่าห้องพัก ค่าบริการพยาบาล รวมถึงค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นระหว่างพักฟื้น ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะผันแปรตามระยะเวลาการรักษา หากต้องพักรักษาตัวนาน ค่าห้องพักและค่าบริการพยาบาลก็จะสูงขึ้น ยังไม่รวมถึงค่าอุปกรณ์ฟื้นฟูสมรรถภาพ เช่น รถเข็นหรือเครื่องช่วยหายใจในผู้ที่มีปัญหาด้านการหายใจ เนื่องจากค่ารักษาที่อาจสูงมาก ควรตรวจสอบความคุ้มครองจากประกันสุขภาพ หรือสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย

 

เส้นเลือดในสมองแตกอาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่คาดคิดและมาพร้อมค่ารักษาที่สูงจนไม่ทันตั้งตัว การเตรียมความพร้อมด้วยการซื้อประกันโรคร้ายแรง จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คืออีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า ซึ่งช่วยรองรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา เพิ่มโอกาสฟื้นตัวโดยไม่ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวต้องเผชิญกับภาระการเงินที่หนักหน่วงเกินไป สมัครง่าย สะดวกทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์

 

สนใจประกันสุขภาพออนไลน์คุ้มครอง 4 โรคร้ายแรงสำคัญ จากพรูเด็นเชียล ประกันชีวิต คลิกเลย

  

คำเตือน

● ความคุ้มครองขึ้นกับแผนประกันภัยที่เลือก

● เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่กรมธรรม์กำหนด

● ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

 

ข้อมูลอ้างอิง

โรคหลอดเลือดสมอง รู้ทันป้องกันอัมพาต